โรลเลอร์ลิดไฟฟ้า Hamer กับ Hamer Max ต่างกันตรงไหน?

  


     

               

 

Hamer ได้ทำการเปิดตัวโรลเลอร์ลิดไฟฟ้า Version ที่ 2 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ได้มีการขาย โรลเลอร์ลิดไฟฟ้า Gen1 มาได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งโรลเลอร์ลิด Gen2 หรือ รุ่น Max นี้ ได้มีการปรับปรุงพัฒนาทั้งรูปลักษณ์ ฟังก์ชั่นการใช้งานและระบบความปลอดภัยให้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่า  “ แล้วตรงใหนบ้างละที่มันต่างกัน ” ซึ่งทาง Absolute4x4 Off Road ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักของ ทาง Hamer 4x4  ที่การันตีด้วยยอดขายโรลเลอร์ลิดอันดับ 1 ของประเทศ  ก็ได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่าต่างกันยังไง

       1.รูปทรง รูปทรงที่เปลี่ยนไป โรลเลอร์ลิดไฟฟ้า Gen1 นั้น จะมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Hamer คือมีขอบที่สูงขึ้นมากว่าขอบกระบะของรถ

ส่วน Gen2 ตัวขอบโรลเลอร์ลิดจะอยู่ต่ำลงมาเสมอกับขอบกระบะเดิมของรถพอดี ซึ่งส่งผลให้การใช้งานดีขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั้งสามารถติดอุปกรณ์เสริมได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่นติดโรลบาร์ หรือคานวางเต็นท์ คานวางจักรยาน ได้เลย

       2.ท่อน้ำทิ้ง โดยปกติแล้วท่อน้ำทิ้งของโรลเลอร์ลิดไฟฟ้า Gen1 นั้น จะเจาะรูทั้งหมดด้วยกัน 4 รู ด้านหน้า 2 และด้านหลัง 2 ซึ่ง Gen 2 ท่อน้ำทิ้งด้านหลังจะเปลี่ยนเป็นชุด Kit ที่เป็นทั้งท่อน้ำทิ้ง และเป็นตัวกันน้ำกันฝุ่นไปในตัว โดยที่ไม่ต้องเจาะไลเนอร์ 2 รูที่ด้านหลัง จึงส่งผลทำให้โรลเลอร์ลิด ไฟฟ้ารุ่น Max กันน้ำและกันฝุ่นได้ดีกว่ารุ่น Gen1

       

        3.สวิตช์ปิดเปิดท้ายกระบะ โดยปกติแล้ว โรลเลอร์ลิดไฟฟ้า ของ Hamer จะเปิดปิดโรลเลอร์ ได้ทั้งหมด 3วิธี คือ

             1.เปิดด้วยรีโมทย์ ที่มากับโรลเลอร์โดยจะมีทั้งหมด1ดอก

             2.เปิดปิดด้วยมือถือ ได้ทั้งระบบ Android และ IOS

             3.ปุ่มเปิดปิดท้ายกระบะ

     
     ซึ่ง โรลเลอร์ไฟฟ้า ของ Hamer Gen2 หรือ Hamer Super lid Max ก็จะยังคงฟังก์ชั่นการเปิดปิดแบบเดิมไว้ และเพิ่มฟังก์ชั่นเปิดปิดใหม่ขึ้นมานั่นคือ ปุ่มเปิดปิดบนกระบะท้าย ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ความปลอดภัย เพราะปุ่มกดจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อปลดล็อครถแล้วเท่านั้น กรณีที่รถยังล็อคอยู่ปุ่มกดจะไม่สามารถใช้งานได้ เพี่อป้องกันการโจรกรรม ไปในตัว

     ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่ Hamer Super lid Max (Gen2) แตกต่าง Hamer Super lid Gen 1 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการใช้งาน ให้ได้ดียิ่งขึ้น และสวยงามมากขึ้น โดยราคาก็จะเพิ่มขึ้นมากว่าตัวเดิมอยู่ 3000 กว่าบาท ถ้าเทียบฟังก์ชั่นการใช้งานกับราคาที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว โดยส่วนตัวแนะนำตัว Max ให้เป็นอีกนึ่งทางเลือก ครับผม 

 


บทความโดย Au Absolute

สามารถดูรีวิวฉบับเต็มได้ที่ YouTube Channel : Absolte4x4 Off Road 

Visitors: 279,379